ในงาน Gartner Symposium/ITxpo 2016 ทาง Gartner ได้ออกมาวิเคราะห์ถึง 10 เทคโนโลยีที่เหล่าองค์กรจะนำไปใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปี 2017 เพื่อสร้างเทคโนโลยีเฉพาะของตนเองขึ้นมาสำหรับการแข่งขันทางธุรกิจ
10 อันดับเทคโนโลยีที่จะมาเป็นหัวใจของธุรกิจองค์กรปี 2017 โดย Gartner
10.Adaptive Security Architecture
เทคโนโลยีใหม่ข้างต้นทั้งหมดนั้นจะทำให้การรักษาความปลอดภัยมีความซับซ้อนขึ้นไปอีกเป็นอย่างมาก โดยการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานให้กับเหล่าอุปกรณ์ IoT นั้นควรจะเป็นสิ่งที่เหล่าองค์กรบรรลุให้ได้ และการติดตามผู้ใช้งานและพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ อย่างไรก็ดี IoT เองนั้นก็เป็นปัญหาแก่เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย เพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่เปิดกว้างค่อนข้างมากและยังต้องการวิธีการในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยที่แตกต่างกันออกไป
9.Digital Technology Platforms
Digital Technology Platform จะเป็นฐานแบบ Building Block ที่สำคัญซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวไปสู่การเป็น Digital Business ได้ โดยในการเปลี่ยนธุรกิจให้กลายเป็น Digital Business นี้จะมีจุดที่ต้องมุ่งเน้นด้วยกัน 5 ประเด็น ได้แก่ Information Systems, Customer Experience, Anallytics and Intelligence, IoT และ Business Ecosystems ซึ่งแต่ละองค์กรอาจจะมุ่งเน้นในประเด็นเดียวหรือหลายประเด็นที่แตกต่างกัน และอาจใช้ Digital Technology Platform ที่แตกต่างกันไปก็ได้
8.Mesh App and Service Architecture (MASA)
MASA นี้คือการที่ Mobile App, Web App, Desktop App และ IoT App เชื่อมต่อไปยังบริการ Back-end จำนวนมากเพื่อสร้างสิ่งที่ผู้ใช้งานอย่างเรามองเห็นว่าเป็น Application ใดๆ โดยสถาปัตยกรรม MASA นี้จะทำการนำเสนอบริการใดๆ ให้อยู่ในรูปของ API เพื่อเชื่อมต่อไปยังบริการอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มขยายได้ง่าย ซึ่งผู้ใช้งานนั้นจะสามารถนำอุปกรณ์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Smartphone, รถยนต์ไร้คนขับเข้ามาเชื่อมต่อกับบริการในสถาปัตยกรรม MASA ได้อย่างอิสระ และเข้าถึงข้อมูลหรือบริการต่างๆ ได้อยู่ตลอดเวลาแม้จะเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้งานไปตามอิริยาบถใดๆ ก็ตาม
7.Conversational System
ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ยังถูกมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบ Chatbot และอุปกรณ์ที่ใช้งานไมโครโฟนได้เป็นหลัก แต่ในอนาคตนั้น แนวคิดของ Digital Mesh จะเพิ่มจำนวนอุปกรณ์ที่มนุษย์เราเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากขึ้นเหนือไปจากแค่ PC, Notebook และ Mobile Device กลายไปเป็นทุกๆ อุปกรณ์ที่มนุษย์เราสามารถสื่อสารด้วยได้ รวมไปถึงอุปกรณ์เหล่านี้เองก็จะต้องสื่อสารระหว่างกันได้ด้วย กลายเป็นโลกของ Digital Experience ที่ทุกสิ่งทุกอย่างสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา
6.Blockchain และ Distributed Ledgers
Blockchain และ Distributed Ledgers นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมได้ โดยถึงแม้ปัจจุบันสองเทคโนโลยีนี้มักจะถูกพูดถึงในการนำไปใช้สำหรับเทคโนโลยีทางด้านการเงินเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว Blockchain และ Distributed Ledgers นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเพลง, การตรวจสอบยืนยันตัวตน หรือแม้แต่ Supply Chain ก็ตาม
5.Digital Twin
Digital Twin หรือการบันทึกข้อมูลของสิ่งของในโลกจริงในรูปแบบ Digital ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Sensor เพื่อวัดสถานะปัจจุบัน, ความเปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ในรูปแบบของ Metadata, Condition/State, Event และ Analytics นั้นจะเริ่มกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย โดยภายใน 3-5 ปี สิ่งของต่างๆ หลายร้อยล้านชิ้นทั่วโลกจะถูกจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Digital Twin และองค์กรต่างๆ ก็จะใช้ข้อมูล Digital Twin นี้ในการซ่อมบำรุงสิ่งของต่างๆ ล่วงหน้าและวางแผนจัดการกับอุปกรณ์เหล่านั้นได้ การทำนายว่าอุปกรณ์ใดจะเสียล่วงหน้าหรือการปรับปรุงกระบวนการการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นก็จะเกิดขึ้นจากข้อมูลเหล่านี้
4.Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR)
VR และ AR จะเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ผู้คนจะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน และเปลี่ยนวิธีการที่ผู้คนจะใช้งาน Software โดยตลาดของ VR, AR และ Content ที่เกี่ยวข้องนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องไปจนถึงปี 2021 และเทคโนโลยี VR/AR นี้จะถูกผนวกเข้าไปในอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยให้การนำเสนอข้อมูลไปยังผู้ใช้งานแต่ละคนสามารถทำได้แบบ Hyperpersonalized พร้อมกับนำเสนอ App และบริการต่างๆ ด้วย โดยการเชื่อมต่อกันระหว่างอุปกรณ์ Mobile, Wearable, IoT และ Sensor ก็จะทำให้ Immersive Application บน VR และ AR ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก พื้นที่ว่างภายในห้องนั้นนอกจากจะมีสิ่งต่างๆ และ IoT แล้ว ก็จะยังมีข้อมูลจากโลก Immersive Virtual World แสดงอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน
3.Intelligent Things
สิ่งของต่างๆ ที่จะมีความชาญฉลาดเหนือกว่าการทำงานตามคำสั่งที่โปรแกรมเอาไว้ โดยมีการฝัง AI และ ML เพื่อให้สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างซับซ้อนยิ่งขึ้นและสามารถโต้ตอบกับสิ่งรอบตัวและผู้คนได้อย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Drone, รถยนต์ไร้คนขับ, เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ หรืออื่นๆ รวมถึงการเปลี่ยนไปจากการทำงานแบบ Stand-alone ให้สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ที่อยู่รายรอบได้
2.Intelligent Apps
Application ที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้งานได้ไม่ว่าจะเป็น Virtual Personal Assistant (VPA) ที่ให้คำแนะนำในการทำงานทั่วๆ ไปอย่างเช่นการจัดการ Email, การช่วยอ่านเนื้อหาหรือโต้ตอบการสื่อสารต่างๆ โดยัอตโนมัติ หรือระบบ Virtual Consumer Assistant (VCA) ที่จะมาช่วยให้งานของเซลส์และทีมงานสนับสนุนง่ายขึ้นนั้น ต่างก็เป็นเทคโนโลยีที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเราไปเป็นอย่างมากในอนาคต